30 พฤศจิกายน 2551

Thailand Tea 2008 - Conference Report


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ด้วยรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเช้านี้เองครับ ทางเหนืออากาศค่อนข้างหนาวทั้งที่ดอยตุง แม่สาย เชียงราย เชียงแสน และดอยอินทนนท์ อากาศดี สูดหายใจสบายสุดปอดสุดๆ ลืมเรื่องร้ายๆในกรุงเทพฯไปหมดเลยครับ ผู้คนต่างจังหวัดก็ยังมีความสุขกันปกติ ไม่เห็นมีใครอยากดูข่าวเลย งงมากๆครับ


ในช่วงวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น ผมและคณะวิจัยได้มีโอกาสเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ International Conference on Tea Production and Tea Products ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ. เชียงราย ร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ งานประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งแรกของเมืองไทย ที่เกี่ยวกับชา มีผลงานเสนอทั้งในภาคบรรยายและโปสเตอร์จำนวน 23 เรื่อง ซึ่งถือว่าไม่มากครับ ผมเลยมีโอกาสได้ฟังและเข้าร่วมเกือบจะทุกผลงาน นอกจากผลงานทางวิชาการที่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องชาแล้ว ที่ผมชอบมากก็คือมีสิ่งที่เรียกว่า Country Reports ซึ่งเป็นการเชิญผู้รู้เรื่องวงการชาของประเทศต่างๆ มาบรรยายสถานภาพการผลิตชา และตลาดชาในประเทศของตนเอง ได้แก่ จีน อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม ศรีลังกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทำให้ได้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในตลาดชาของโลกน้อยมากๆครับ เจ้าใหญ่ที่ส่งออกมากที่สุดเป็น จีน และ อินเดีย แต่ที่น่ากลัวและกำลังมาแรงคือ เวียดนาม เกจิจากอินเดียที่มาพูดในงานนี้เขาฟันธงว่าอีกไม่เกิน 5 ปี ประเทศเวียดนามจะเป็นผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลกแซงหน้าอินเดีย ซึ่งผมค่อนข้างเชื่อครับ เพราะตลอดปีที่ผ่านมาผมได้นั่งเฝ้าดูสภาพภูมิอากาศของอินเดีย พบว่าได้รับผลกระทบจาก Climate Change เป็นอย่างมาก มีสภาพฝนแล้งทั้งปีที่ผ่านมา


ในช่วงการประชุมทางผู้จัดได้มีการนำผู้เข้าร่วมประชุมไปดูงานบริษัทผลิตชาที่ดอยแม่สลอง และดอยช้าง ผมเองก็ได้เดินทางไปดูพื้นที่ปลูกชาของบริษัทชาดอยช้าง ซึ่งเท่าที่ทราบมานั้น ที่นี่เป็นเจ้าเดียวหรือไม่กี่เจ้าที่ทำการเพาะปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี ทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะนำระบบเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ไปทดลองใช้ในไร่ชาแห่งนี้ครับ ซึ่งทางเจ้าของสถานที่มีความสนใจในเทคโนโลยี Smart Farm มาก พวกเรากะว่าจะเดินทางขึ้นไปอีกทีในช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อไปทำแผนที่ไร่และติดตั้งระบบครับ

18 พฤศจิกายน 2551

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 2)


ท่านผู้อ่านหลายๆท่าน อาจเคยได้ฟังเพลงที่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ร้องเอาไว้เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว เพลงหวานๆ ที่มีชื่อว่า "โลกที่ไม่เท่ากัน" นี้มีเนื้อดังนี้ครับ

..... หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่นวาย ไม่มีกฏหมายมาตราใดลงโทษลงทัณฑ์รักสองเราหากโลกนี้มีเราเพียงสองคน เริ่มต้นลงท้ายคงด้วยดี แผ่นดินทุกที่ย่อมมีเสรีเพาะปลูกวิญญาณรักสองเรา แต่โลกใช่มีเพียงรักสองเรา ผู้คนยังมัวเมาและงมงาย ถือเผ่าถือพันธ์กันต่อไป กีดกั้นทำลายคนด้วยกัน หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน คงไม่ถูกโค่นต้นไม้รักของเรา ชีวิตเธอและฉันไม่ยืนยาว โลกเป็นของเราแต่ไม่เท่ากัน

ส่วนอีกเพลงหนึ่ง เป็นของวงเฉลียง ร้องไว้ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นเพลงแจ๊สแต่มีชื่อที่แสนโรแมนติกว่า "ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน" มีเนื้อร้องดังนี้ครับ
.... ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน มองไปทางไหนก็สวยงาม มีเพียงเราสองเท่านั้นเองกับหวานใจ ดู ดู ดู ภูเขาทะเลกว้างฟ้าไกล ต่อให้ไกลแสนไกล จะไกลแสนไกล เราเป็นเจ้าของ เราคงจะรักกันทั้งวัน คงมีสวรรค์กันทั้งเดือนและทั้งปี ดู ดู ดู จะหันทางใดไม่เห็นมี ไม่มีผู้ใดไม่มีเลยแม้ใคร ขวางทางรักเรา สองเราชิด สองเราไม่เคยห่าง สองใจชิด สองใจไม่เคยต่าง สองเราเท่านั้นฉันเธอไม่มีใครอื่น ทั้งวันทั้งคืนฝนพรำฟ้าครืน แดดใส ไม่มีใครเลย เวลาเราหิวก็สองคน จะกินข้าวเหนียวก๋วยเตี๋ยวไก่จะซื้อใคร ดู ดู ดู ตัดเย็บกางเกงเล่าร้านใด จัดงานฉลองเลี้ยงใคร ไม่มีมาสักราย ก็เลี้ยงกันสองคน มองไปทางไหนไม่เห็นใคร มีเพียงเราสองคนเท่านั้นเอง เท่านั้นเอง ฮือ ..ฮือ..ฮือ.. จะร้องจะรำให้ครื้นเครง ดนตรีต้องเล่นเอง ฟังกันร้องเอง ประสานเสียงเองฮือ..ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย

นั่นเป็นจินตนาการของศิลปินครับ ที่มองว่าหากโลกนี้เหลือเพียงตัวเราและคนรัก มันก็คงมีความสุขดี คุณผู้อ่านหล่ะครับ เคยคิดแบบนี้ไหมครับ มนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้สูงมาก อารยธรรมเราครองโลกเพียงแค่ 1 หมื่นปี ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ไดโนเสาร์ครองโลกมากกว่าร้อยล้านปี ยังทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไม่ได้เท่านี้ แต่ถ้าหากวันนี้มนุษย์หายไปทั้งหมดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าเพียงเวลาไม่ถึง 20 ปี โลกก็จะกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไม่ยากครับ ตอนหน้ามาคุยกันต่อครับ .......
(ภาพบน - จินตนาการของกรุงวอซอร์ ประเทศโปแลนด์ ในสภาพที่ถูกธรรมชาติกลืนกิน เพียงไม่กี่ปีหลังจากมนุษย์หายไปจากโลกนี้)

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 1)


ผมเคยขับรถไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก โดยไต่เขาขึ้นไปจาก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเส้นทางค่อนข้างลาดชัน ตอนที่ไต่เขาขึ้นไปนั้นแสงแดดดี อากาศก็แจ่มใสมากๆ ครับ แต่พอผ่านด่านเก็บเงินของอุทยานเข้าไปแล้ว เส้นทางที่เข้าไปนั้นร่มครึ้ม ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แม้ว่าถนนจะสามารถวิ่งได้ 2 เลน แต่ผมก็ต้องขับกลางๆ ถนน เหมือนกับจะขับได้แค่เลนเดียวเท่านั้น เพราะต้นไม้ใบหญ้าได้รุกเข้ามาเกาะกินพื้นถนน เนื่องจากทางขึ้นฝั่งหล่มสักนี้ไม่ใคร่จะมีใครอยากขับขึ้นเท่าไรนัก เส้นทางสายนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงาวังเวงยิ่ง



ท่านผู้อ่านที่เคยได้ชมภาพยนตร์ I Am Legend ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกยอดนิยม Will Smith ผมค่อนข้างเชื่อว่าหากได้ชม DVD ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนนอน คืนนั้นถ้านอนไม่หลับ ก็ต้องอดไม่ได้ที่จะนอนคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่อง จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกที่เราอยู่อาศัยนี้ วันดีคืนดีมนุษย์ได้หายไปทั้งหมด เส้นทางหล่มสัก-ภูหินร่องกล้า ที่ผมขับรถเข้าไปนั้น ก็ยังมีรถวิ่งผ่านไปมาบ้าง แต่ถ้าเส้นทางนี้ถูกปิดตายไปเลย ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ผมเชื่อว่าจะไม่เหลือร่องรอยของทางหลวงสายนั้น ตามท้องเรื่องของ I Am Legend นั้น หลังจากไวรัสได้ระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบทั้งโลก นครนิวยอร์คเหลือมนุษย์ปกติเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นคือ พันเอก Robert Neville (นำแสดงโดย Will Smith) กับ สุนัขพันธุ์อาเซเชียนที่ชื่อเจ้าแซม ผู้พันเนวิลล์ต้องใช้ชีวิตอย่างเปลี่ยวเหงากับสุนัขตัวเดียว ท่ามกลางซากปรักหักพังในมหานครนิวยอร์ค มหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ เมื่อไร้ซึ่งมนุษย์มาคอยดูแล มันก็ผุพังเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา โดยมีสัตว์ป่าเข้ามาอยู่อาศัย พืชพรรณต่างๆก็ขึ้นเกะกะ กัดกร่อนโครงสร้างคอนกรีตต่างๆ ไปเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์เมื่อขาดคนคอยดูแล ใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้นก็เสื่อมโทรมไปเกือบจะจำสภาพเดิมไม่ได้ บ้านเมืองที่ไม่มีผู้คนอยู่ ก็ย่อมขาดการซ่อมแซมในสิ่งที่เสื่อมถอยไป ขาดการทำความสะอาด ขาดการ maintenance ขาดการทาสีใหม่ ขาดการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของวัสดุ เวลาเพียง 3 ปีก็ทำให้เมืองเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิงครับ

15 พฤศจิกายน 2551

Wearable Farming Robot - ชุดหุ่นยนต์สวมใส่สำหรับชาวนา


อย่างที่ผมชอบพูดบ่อยๆ ล่ะครับว่านับวัน ศาสตร์ต่างๆจะเขยิบเข้ามาใกล้กัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากขึ้น การนำเอาหุ่นยนต์ไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายคนนั้นเกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า Bionics ซึ่งจะช่วยทำให้คนที่มีความบกพร่องทางกายภาพ สามารถใช้อวัยวะกลทดแทนอวัยวะที่ขาดหายไปได้ ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งที่มีชื่อว่า หุ่นยนต์แบบสวมใส่ได้ (Wearable Robot) หรืออีกชื่อว่า Exoskeleton เป็นการนำหุ่นยนต์มาสวมใส่ให้แก่ผู้ที่มีร่างกายปกติ แต่ต้องการเพิ่มสมรรถนะทางร่างกายให้มากขึ้น ศาสตราจารย์ Shigeki Toyama แห่ง Tokyo University of Agriculture and Technology ได้พัฒนาหุ่นยนต์สวมใส่ได้สำหรับชาวนา เขาออกแบบมันขึ้นมาเพื่อให้ชาวนาญี่ปุ่นสูงอายุ สามารถทำงานต่างๆได้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ เจ้าหุ่นสวมได้นี้จะมีเซ็นเซอร์ที่ติดไว้ถี่ยิบเพื่อตรวจวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อมันรู้สึกว่าคนทำท่าจะยกของ มอเตอร์ของมันก็จะทำงานสอดคล้องไปกับทิศทางการเคลื่อนที่ของร่างกาย เพื่อที่จะช่วยยกของให้คนที่สวมใส่มัน นักศึกษาผู้หนึ่งที่ได้ลองสวมใส่เจ้าหุ่นนี้บอกว่า "เมื่อผมใส่เจ้าหุ่นนี้แล้วก็รู้สึกว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็นกองเลยครับ อย่างถุงข้าวหนัก 20 กิโลกรัมเนี่ย ผมยกขึ้นสบายๆ โดยแทบไม่รู้สึกว่าหนักเลย" หุ่นยนต์สวมได้นี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวนา เพราะว่านอกจากมันจะช่วยเรื่องของการยกข้าวของแล้ว งานที่ต้องยกแขนนานๆ อย่างการตัดต่อกิ่ง หรือ สอยผลไม้ มันก็จะช่วยพยุงแขนให้อยู่ในท่านั้นได้นานๆ หรือหากเราต้องการดึงหัวมันออกจากดิน ก็ใช้แรงน้อยมากเพื่อทำงานดังกล่าว

14 พฤศจิกายน 2551

Agrobot - เมื่อหุ่นยนต์หัดทำไร่ทำนา


สวัสดีครับ ช่วงนี้คนที่มีบ้านอยู่ชานเมือง อาจจะเริ่มรู้สึกมีลมหนาวโชยๆมาสัมผัสผิวกาย ยามเช้ากันแล้วนะครับ ในเมืองเอง ช่วงเช้ากับเย็นก็เริ่มรู้สึกเย็นๆกันแล้ว หน้าหนาวส่วนใหญ่คนกรุงที่นิยมไปท่องเที่ยวใกล้ๆ ก็คงจะนึกถึงเขาใหญ่กันใช่ไหมครับ ช่วงนี้ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง อากาศเริ่มเย็น ที่ไร่องุ่นกรานมอนเต้ตอนเช้าอุณหภูมิ 20 เซลเซียสเองครับ เริ่มเทศกาลท่องเที่ยวในเขตเขาใหญ่กันแล้ว แต่ปีนี้ฝนลาฟ้าใสค่อนข้าง late คงจะได้เห็นทุ่งทานตะวันกันช้า อาจจะเริ่มธันวาคมนู่นหล่ะครับถึงจะเห็นดอกทานตะวันกัน

ในช่วงหน้าหนาวนี้ ผมไปทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นที่เขาใหญ่เกือบจะทุกอาฑิตย์ งานในไร่องุ่นนี่ใช้แรงงานค่อนข้างมากครับ ผมพอจะทราบมาว่าแรงงานภาคเกษตรของเราค่อนข้างจะมีปัญหาเริ่มขาดแคลนแล้วครับ ดังนั้นการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในอนาคตอันใกล้ เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกทีๆ ตอนนี้ในต่างประเทศเริ่มมีการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการเกษตร หรือ Agrobot เช่น หุ่นยนต์เก็บเห็ด โดยใช้เทคโนโลยีกล้อง CCD เพื่อตรวจหาเห็ดแล้วทำการจำแนกขนาดว่าเก็บได้หรือยัง ถ้าเก็บได้มันก็จะใช้แขนกลดึงออกมา ซึ่งฝีมือในการจำแนกนั้นดีกว่ามนุษย์แล้ว แต่ความเร็วในการเก็บยังช้ากว่ามนุษย์เกือบเท่าตัว นอกจากนั้นยังมีหุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการค้นหาและทำลายแมลงศัตรูพืช มันสามารถถอนวัชพืชได้ และทดสอบตัวอย่างดิน ซึ่งผลงานนี้พัฒนาขึ้นโดย Tony Grift แห่ง University of Illinois หุ่นยนต์ตัวนี้สามารถเดินตามแถวข้าวโพด จากแถวหนึ่งไปอีกแถวหนึ่งได้ด้วยตัวของมันเอง Grift บอกว่าเขาจะพยายามทำหุ่นยนต์ให้มีราคาถูก แต่ทำออกมาเยอะๆ แล้วให้หุ่นเหล่านี้ทำงานกับเป็นทีม โดยคุยกันผ่านเครือข่ายไร้สาย Grift บอกว่า "ผมกะว่าจะสร้างหุ่นยนต์แบบนี้ขึ้นมาสัก 10 ตัวหรือมากกว่านั้นครับ เอาให้เป็นระบบนิเวศน์ของหุ่นยนต์เลย ถ้าคุณลองมองไปที่ผึ้ง เวลาที่มันออกไปหาน้ำหวาน แล้วผึ้งตัวหนึ่งก็กลับมาบอกพวกเดียวกันว่าตามฉันมาสิ น้ำหวานอยู่ตรงโน้น แล้วมันก็ยกโขยงกันไป หุ่นยนต์ก็เหมือนกันครับ ถ้าตัวหนึ่งเดินไปเจอศัตรูพืชเข้าล่ะก็ มันจะตะโกนบอกตัวอื่นให้มาช่วยรุมทึ้งเลย"

07 พฤศจิกายน 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 3)

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ยังอยู่ญี่ปุ่นครับ แต่คืนพรุ่งนี้จะไปพักโรงแรมในสนามบินนาริตะ เพื่อเตรียมบินกลับเมืองไทยแล้วครับ เนื้อหาที่จะนำมาเล่าก็เลยยังวนเวียนอยู่แถวๆ นี้ครับ ตลอดเวลา 10 กว่ากันที่ผมอยู่ในญี่ปุ่น เวลาเดินทางไปไหน หากเห็นตู้หยอดเหรียญก็จะเข้าไปดู มันเป็นความเพลิดเหลินอย่างหนึ่งครับ เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน มันก็ตามเราไปทุกที่ หลายๆตู้ที่แวะไปดูก็จะเก็บรูปเอากลับไปดูที่เมืองไทย มาว่ากันต่อในเรื่องของตู้หยอดเหรียญที่ ยิ่งนานวันจะฉลาดล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ บริษัท M-one Cafe พยายามเอาใจคอกาแฟที่ชอบดื่มกาแฟสด และรู้สึกหงุดหงิดกับรสชาติของกาแฟที่ออกมาจากตู้หยอดเหรียญ จริงๆแล้ว กาแฟหยอดตู้ก็สามารถเซิร์ฟในถ้วยกระดาษร้อนๆ และมีตัวเลือกได้ค่อนข้างมาก ทั้ง เอสเพรสโซ คาปูชิโน ลาเต้ แต่ M-one เขาอยากให้ตู้หยอดเหรียญสำหรับกาแฟมีความฉลาดข้ามขั้นไปเลย คือให้ผู้ซื้อมีอิสรภาพในการกำหนดรสชาติที่ตัวเองต้องการ เหมือนกับการปรุงเอง ซึ่งอิสรภาพที่ได้มานี้มากกว่าการไปนั่งสั่งกาแฟสดด้วยการปรุงจากมนุษย์ในร้านกาแฟเสียด้วยซ้ำ เพราะผู้ซื้อสามารถควบคุมการปรุงได้จากการเฝ้าดูจอ LCD ที่ตู้โดยการใช้ Touch-screen สั่งเลือกสูตรกาแฟที่ตนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของกลิ่นรส ความหวาน ความมันของนม ถ้าจะดื่มกาแฟเย็นก็เลือกขนาดของก้อนน้ำแข็งที่ต้องการได้ เครื่องจะตัดน้ำแข็งในขนาดตามนั้นให้สดๆ เลยครับ ตอนนี้ตู้หยอดเหรียญจำนวนมาก นอกจากจะรับเหรียญแล้ว ยังสามารถใช้บัตรโดยสารสมาร์ทการ์ดมาแตะที่ตู้แทนการใช้เหรียญ ตู้ก็จะหักเงินในบัตรเอง โดยเฉพาะตู้หยอดเหรียญที่สถานีรถไฟไฟ้าทั้งหลาย ซึ่งหลายๆตู้ สามารถหักเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ แค่นำไปแตะเท่านั้น เดี๋ยวนี้บริษัทโฆษณาสินค้าทั้งหลายก็นิยมโปรโมตสินค้า โดยการส่ง e-mail ไปเข้ามือมือลูกค้า เช่นให้เครื่องดื่มโค้กฟรี 1 กระป๋อง เพียงนำบาร์โค้ดที่ส่งไปทาง e-mail เอาไปให้ตู้หยอดเหรียญสแกน โดยหันหน้าจอมือถือไปทางเครื่องสแกน โค้กก็จะหล่นลงมาให้ดื่ม

04 พฤศจิกายน 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)

ยังวนเวียนอยู่แถวญี่ปุ่นนะครับ ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1890 หรือเกือบ 120 ปีก่อนครับ ถึงวันนี้การพัฒนาตู้หยอดเหรียญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันมีความเฉลียวฉลาดและทำอะไรได้มากขึ้นเยอะเลยครับ บริษัท Fuji Electric ได้คิดค้นตู้หยอดเหรียญที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์เพื่อทำความเย็นให้แก่สินค้าข้างใน ที่ด้านข้างของมันมีมอสเขียวๆขึ้นอยู่ เพื่อเป็นฉนวนความร้อนและเพิ่มความเขียวขจี แก่สภาพแวดล้อมตรงที่ตู้มันไปวางตั้งอยู่ อีกความฉลาดหนึ่งที่ตู้หยอดเหรียญยุคใหม่มีก็คือ ความสามารถในการเดาอายุของผู้หยอดเหรียญ ซึ่งจะมีประโยชน์มากสำหรับตู้หยอดเหรียญเพื่อซื้อบุหรี่ บริษัท Fujitaka ได้ประดิษฐ์ตู้หยอดเหรียญที่ใช้เทคโนโลยี Face Recognition เพื่อทำการประเมินอายุของผู้ซื้อบุหรี่ที่ตู้ ด้วยการใช้กล้องเก็บภาพหน้าของผู้หยอดเหรียญ แล้วทำการวิเคราะห์รูปทรงของใบหน้า ความเต่งตึงของผิวหน้า ลักษณะของเส้นรอบๆดวงตา แล้วทำการเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของใบหน้าคน ในช่วงอายุต่างๆ ในฐานข้อมูลที่มีอยู่มากถึง 100,000 ใบหน้า ตู้นี้จะปฏิเสธการขายหากมันคิดว่าคนซื้อเป็นเยาวชน แล้วในกรณีที่ผู้ซื้อเกิดเป็นคนหน้าอ่อนกว่าอายุมากๆ ล่ะจะทำอย่างไร สำหรับกรณีที่ผู้ซื้อเป็นผู้ใหญ่แบบ Baby-Faced แล้วเครื่องปฏิเสธการขาย ก็ยังสามารถซื้อได้โดยนำบัตรประชาชนมาให้ตู้สแกน มันก็จะยอมขายให้ โดยเก็บข้อมูลความผิดพลาดในการคำนวณเอาไว้ด้วย เพื่อปรับปรุงความฉลาดของมันต่อไป แม้ว่าปัจจุบันความถูกต้องในการคำนวณของมันจะมีเพียง 90% เท่านั้น (ทุกๆ 100 คน มันจะเดาผิด 10 คน) แต่ในอนาคตพลังของซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์จะสูงขึ้น เพื่อลดข้อผิดพลาดให้ลดลงไปเรื่อยๆครับ บริษัทเดียวกันนี้ยังได้นำตู้หยอดเหรียญที่แนะนำที่กินข้าว ที่เที่ยว ให้แก่ผู้หยอดเหรียญที่มากดซื้อกาแฟทานด้วยครับ โดยใช้จอภาพแบบ Touch-Screen ให้ผู้ซื้อใช้เล่นแพนและซูมแผนที่ มันก็จะโฆษณาแนะนำว่ามีร้านไหนอร่อยแถวนี้ สามารถบอกเจ้าตู้ฉลาดนี้ว่าเราอยากทานอะไรเป็นพิเศษ มันจะโชว์แผนที่ให้ และพูดบอกเราว่าให้เดินไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน

01 พฤศจิกายน 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านที่เคยอยู่อพาร์ทเมนท์คงจะคุ้นเคยกับเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญนะครับ เดี๋ยวนี้หาค่อนข้างง่าย เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งไปแล้วในเมืองไทย แต่เครื่องหยอดเหรียญเพื่อกดขนม หรือ เครื่องดื่มออกมานั้นอาจจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไรนักในบ้านเรา ผมก็เคยเห็นบ้างในมหาวิทยาลัยบ้านเรา แต่ที่ญี่ปุ่น เครื่องหยอดเหรียญเพื่อซื้อเครื่องดื่ม บุหรี่ ขนม หรือแม้แต่ของเล่น นั้นพบได้ทั่วไป เรียกว่าเดินออกจากโรงแรมไปซัก 1 ป้ายรถเมล์ ก็เจอเป็นสิบๆเครื่องแล้ว ตามลานจอดรถก็มี ปากซอยก็มี บนชานชาลารถไฟก็มี ออกไปเดินเล่นข้างๆท้องนาในชนบทก็ยังเจอเลยครับ แถมมีของแปลกๆ อย่างไข่ไก่ เป็นต้น บางทีผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าบริษัทที่ติดตั้งเครื่องหยอดเหรียญเหล่านี้จะจำได้ไหมว่าตนเองเอาเครื่องไปวางไว้ที่ไหนบ้าง แถมยังต้องไปคอยเอาของไปเติมด้วย ปรากฎว่าเครื่องเหล่านี้ในญี่ปุ่นเขาเชื่อมโยงกับเครือข่ายไร้สายหมดครับ ซึ่งมันจะส่งข้อมูลของสินค้าที่ขายดี ขายไม่ดี ไปยังศูนย์ข้อมูล ซึ่งมันก็จะแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้จะหมดด้วย ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นมีเยอะเสียจนเขามีการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการเกี่ยวกับตู้หยอดเหรียญโดยเฉพาะ อย่าง Vendex Japan มีบริษัทมาแสดงสินค้าในงานถึง 194 บริษัท จำนวน 822 บูธ ซึ่งมีผู้มาเที่ยวชมงานจำนวน 150,000 คน ทั้งๆที่เก็บค่าเข้าชมงานคนละ 500 บาท ว่ากันว่าในญี่ปุ่นตอนนี้มีตู้หยอดเหรียญจำนวน 5,405,300 ตู้ครับ หรือมีตู้หยอดเหรียญ 1 ตู้ต่อประชากร 23 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลก ครึ่งหนึ่งของ 5 ล้านกว่านี้เป็นตู้สำหรับกดเครื่องดื่มไร้อัลกอฮอล์ครับ ประมาณ 118,000 ตู้จะเป็นของแปลกที่ไม่น่าเอามาใส่ในตู้ ไม่ว่าจะเป็น มีดโกนหนวด ถุงเท้า ไข่ไก่ น่าทึ่งมากครับมี 5,500 ตู้ที่เป็นบะหมี่กระป๋อง เขาสำรวจออกมาพบว่า 22% ของคนตอบแบบสำรวจนั้นใช้ตู้หยอดเหรียญอย่างน้อยวันละครั้ง ทำให้รายได้ของตู้หยอดเหรียญทั้งหมดรวมทั้งปีมีมูลค่าถึง 7,000,000,000,000 เยน หรือ ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยใน 1 ปีเสียอีกครับ


ชีวิตในโลกอนาคตนั้น นับวันจักรกลที่มีความฉลาดจะยิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ .....