30 สิงหาคม 2555

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 1)


ไม่เป็นที่สงสัยกันอีกแล้วนะครับว่า Global Warming เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงเหลือคนจำนวนน้อยแล้วล่ะครับที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้ ซึ่งก็รวมไปถึงประธานาธิบดีบุชกับเจ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ข่าวร้ายก็คือว่าเราอาจจะไม่สามารถหยุดมันได้แล้วครับ หากยังทำอะไรกันแบบเล็กๆ ไม่เต็มที่ เช่น ลดการใช้น้ำมันหันไปใช้ Biofuel เพราะผ่านมา 10 ปีแล้วที่เรามี Kyoto Protocol แต่ปริมาณการปล่อย CO2 ก็ไม่ได้ลดลงเลย น้ำแข็งที่ขั้นโลกเหนือจะละลายจนไม่เหลือหลอในช่วงหน้าร้อนในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า แต่เดี๋ยวก่อน ......ยังครับ .......ยังมีหวังที่จะหยุดโลกร้อน แต่เราต้องทำอะไรแบบใหญ่ๆ หนักๆ นั่นก็คือใช้การวิศวกรรมโลก หรือ Geoengineering หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Planetary Engineering ซึ่งหากเราคิดจะทำกันจริงๆ ก็จะกลายเป็นอภิมหาโปรเจคต์เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่มีโลกใบนี้ขึ้นมาเลยล่ะครับ


Geoengineering เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ ในอดีตแนวคิดของ Geoengineering เกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความใฝ่ฝันจะไปตั้งรกรากในอวกาศ เช่น ดาวอังคาร ซึ่งมีการเสนอวิธีการต่างๆมากมายครับ เพื่อเปลี่ยนสภาพของดาวอังคารให้สามารถอยู่ได้ เช่น การสร้างพื้นผิวต่าง (Terraforming) การสร้างทะเลสาบ การปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ปรับอุณหภูมิของดาวเคราะห์ ซึ่งทำเพื่อให้เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย แล้วก็สร้างนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (Ecopoiesis) นาซ่าได้แอบดำเนินโครงการวิจัยลับๆ เกี่ยวกับการทำ Geoengineering เพื่อสร้างโลกใหม่บนดาวอังคาร ทำให้ดาวอังคารกลายเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตให้ได้ ฟังดูเหมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ .... แต่เดี๋ยวก่อนครับ .... ตอนนี้ดาวเคราะห์ที่อาจจะได้ทดสอบเทคโนโลยี Geoengineering นี้ไม่ใช่ดาวอังคารแล้วครับ แต่จะเป็นโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่นี่เองครับ ..... เดิมพันคือการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของเราเลยทีเดียว วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ ......

21 สิงหาคม 2555

Spy Technology for Farming (ตอนที่ 2)




ต้องขอบคุณสตีฟ จ๊อปส์ ที่ทำให้มีสมาร์ทโฟนถือกำเนิดขึ้นในโลก ไม่เพียงแต่เท่านั้น การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟนได้มีส่วนทำให้เทคโนโลยีที่เคยถูกจัดให้เป็นยุทโธปกรณ์ขั้นสูง ซึ่งปกติมีใช้เฉพาะในกองทัพที่รวยที่สุดในโลก กลายมาเป็นของเล่นที่มีขายตามเว็บ เทคโนโลยีนั้นก็คือ อากาศยานไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle หรือ UAV) ซึ่งผมขอเรียกมันสั้นๆ ว่า drone นะครับ

Drone คืออากาศยานที่สามารถบินขึ้นบินลงเพื่อไปปฎิบัติงานตามภารกิจที่เราตั้งโปรแกรมไว้ drone เป็นชื่อทั่วๆ ไปสำหรับเรียกอากาศยานที่ไม่ต้องใช้นักบินควบคุม ดังนั้น เครื่องบินไร้คนขับอย่าง Global Hawk มูลค่า 4,000 ล้านบาท หรือ เครื่องบินขับเองได้ที่ทำด้วยโฟนของเด็กๆ ที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าราคา 15,000 บาท ก็เรียกว่า drone เหมือนกัน อากาศยานทั้ง 2 แบบนี้ต่างทำหน้าที่คล้ายๆ กันคือ บินขึ้นไปบนอากาศ บินไปยังจุดที่ตั้งเอาไว้ ปฏิบัติงานที่รับมอบหมาย แล้วบินกลับ ทั้งคู่มีระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ (autopilots) มีกล้องความละเอียดสูง (แน่นอน Global Hawk มีกล้องที่มีความละเอียดสูงกว่ามาก) และระบบสื่อสารกับสถานีภาคพื้นดิน ถึงแม้เครื่องบินแบบแรกจะบินได้สูงเกือบ 20 กิโลเมตร และนานถึง 32 ชั่วโมง ในขณะที่แบบหลังบินได้สูงเพียง 100-200 เมตร และนานเพียงชั่วโมงเดียว แต่ด้วยราคาที่ห่างกับลิบลับ ทำให้ drone แบบที่สองกำลังจะครองโลก !!!

ที่ผมพูดว่าต้องขอบคุณสตีฟ จ๊อปส์ ก็เพราะการเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน ได้ทำให้เรื่องของสมองกลฝังตัว (embedded computing) มีขนาดที่เล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น กินพลังงานน้อยลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ drone ขนาดเล็ก มีความสามารถมากขึ้น การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟนยังทำให้เกิดการพัฒนาแบตเตอรีที่มีขนาดเบาอย่างลิเธียมพอลิเมอร์ ทำให้ drone ขนาดเล็กบินได้นานขึ้น การรวมเอาเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้าไปในสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น GPS เซ็นเซอร์วัดความเฉื่อย กล้องวีดิโอขนาดเล็ก ทำให้เกิดการพัฒนาวงจรเซ็นเซอร์รวมที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเมื่อเอาไปใส่ใน drone ขนาดเล็ก เราก็จะได้ระบบบังคับการบินที่ทำงานได้ไม่แพ้ UAV ขนาดใหญ่ของกองทัพสหรัฐฯ เลยครับ ยิ่งสมาร์ทโฟนพัฒนาไปมากขึ้นเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็น drone ขนาดเล็กพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ขนาดที่ว่านักเทคโนโลยีทางด้านนี้ ได้ลงความเห็นว่า drone จะเป็นเทคโนโลยีแรกในโลกที่อุตสากรรมของเล่น กับ อุตสาหกรรมกลาโหม ทำของออกมาแข่งกัน

เพราะตอนนี้ มีบริษัทเกิดใหม่มากมาย ที่เริ่มผลิต drone ขนาดเล็กและขนาดกลางออกมาขายแข่งกับทหาร ซึ่งความสามารถในการบินของ drone เหล่านี้สามารถเอาไปทำประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การกีฬา สำรวจทรัพยากรธรรมชาติ งานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ ต่อต้านการก่อการร้าย หรือ แม้กระทั่งใช้แอบดูพฤติกรรมของคนรัก

แต่ที่ผมถูกใจมากที่สุดคือ การนำมาใช้ในทางเกษตร เพราะเจ้า drone เหล่านี้มีราคาไม่แพง เราสามารถต่อยอดเทคโนโลยีให้มันทำงานเป็นฝูง (swarm) เพื่อตรวจหาแมลง ทำแผนที่ผลผลิต เก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม ถ่ายรูปมุมสูง พ่นปุ๋ยและยา เป็นต้น

อีกไม่นาน เราจะเริ่มเห็นฝูง drone บินฉวัดเฉวียนเหนือไร่นาแล้วครับ ....

16 สิงหาคม 2555

Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 11)


วันนี้ขอกลับมาเขียนบทความเกี่ยวกับแมลงสักหน่อยนะครับ เนื่องจากช่วงนี้ที่ห้องแล็ปมีการทำการทดลองเกี่ยวกับแมลงพอดี ช่วงนี้ก็เลยกลับมาอินเรื่องนี้สักนิดนึง

ในระยะหลังๆ นี้แมลงเป็นที่สนใจในทางวิศวกรรมศาสตร์มากครับ หน่วยงานให้ทุนวิจัยด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกาที่รู้จักกันในชื่อว่า DARPA ได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ในการบังคับให้เจ้าแมลงมาทำงานเป็นทหารให้กองทัพสหรัฐฯ ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้ทยอยนำรายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งที่ได้รับทุน มาเล่าสู่กันฟังไปพอสมควรแล้ว วันนี้ขอมาเล่าเกี่ยวกับประโยชน์ในการศึกษาวิธีการบินของแมลงกันหน่อยนะครับ เพราะความรู้ที่ได้จากการศึกษาว่าแมลงทำการบินอย่างไรนี้ จะมีประโยชน์มากมาย ทั้งในเรื่องของการสร้างหุ่นยนต์บินได้ หรือ อากาศยานอื่นๆ รวมไปถึง แม้แต่รถยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนได้เอง เป็นต้น
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานวิจัยในวารสาร Proceeding of the National Academy of Science (Andrew K. Dickerson, Peter G. Shankles, Nihar M. Madhavan, and David L. Hu, Mosquitoes survive raindrop collisions by virtue of their low mass, Proceeding of the National Academy of Science, doi:10.1073/pnas.1205446109) ซึ่งได้ไขข้อข้องใจที่มีมานานแล้ว เกี่ยวกับคำถามที่ว่า ทำไมยุงและแมลงบางชนิดสามารถบินลุยฝนได้โดยไม่เป็นอะไร ตัวผมเองก็เคยเอาน้ำจากฝักบัวสาดไปที่ยุง และที่น่าแปลกใจคือ หลายต่อหลายครั้ง ที่เจ้ายุงสามารถบินออกมาโดยไม่เป็นอะไรเลย อะไรทำให้มันคงกระพันชาตรี ทั้งๆ ที่น้ำฝนที่ตกลงมามีขนาดของมวลหนักกว่ามันถึง 50 เท่า และมีความเร็วกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็จะเหมือนการที่คนเราเดินฝ่ารถปิกอัพขนาด 3 ตันที่ตกลงมาจากท้องฟ้า นั่นเลยครับ

นักวิทยาศาสตร์พบว่า การที่ยุงมีน้ำหนักเบาแต่กลับมีกระดองที่แข็งแรง (exoskeleton หรือเปลือกที่ห่อหุ้มร่างกายของแมลง) จะทำให้มันสามารถทนทานต่อเม็ดฝนได้ เมื่อฝนตกลงมาใส่ตัวมัน มันจะผ่อนตัวลงไปกับเม็ดฝน ทำให้พลังงานจลน์ของเม็ดฝนไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่ตัวมัน จึงไม่เกิดการกระแทกที่ทำให้บาดเจ็บ จากนั้นในช่วงเวลาที่มันกำลังร่วงลงมากับเม็ดฝน มันจะค่อยๆ ผลักตัวเองบินออกมาจากเม็ดฝนให้ได้ อันตรายอย่างเดียวของมันก็คือ หากมันบินต่ำเกินไปแล้วถูกเม็ดฝน มันอาจจะบินออกมาไม่ทันหากเม็ดฝนพามันตกกระทบพื้น จากความรู้ที่ได้นี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะนำไปออกแบบอากาศยานขนาดจิ๋ว หรือ MAV ได้ (Micro-aerial Vehicle) ซึ่งปัจจุบัน หัวข้อวิจัยนี้กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วโลก

นอกจากนั้นยังมีนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเดร็กเซล (Drexel University) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (Natinal Science Foundation หรือ NSF)ได้ศึกษาหลักอากาศพลศาสตร์ (aerodynamics) หรือการไหลของอากาศผ่านปีกของแมลงเต่าทอง เพื่อทำให้แมลงสามารถยกตัวขึ้นได้ ซึ่งความรู้ที่ได้นี้จะช่วยในการสร้างอากาศยานในอนาคตที่สามารถลอยขึ้นและลงจอดได้แบบแมลง

แมลงเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการการบินที่น่าทึ่ง ครั้งหน้าที่คุณเห็นมันบินผ่านมา อย่าลืมลองสังเกตมันด้วยนะครับ แล้วคุณอาจจะค้นพบบางสิ่งที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับมันก็ได้ .....

13 สิงหาคม 2555

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 13)



บ่ายวันหนึ่งเมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี เข้าสู่สาลวโนทยาน คืออุทยานซึ่งสะพรึงพรั่งด้วยต้นสาละ แล้วประทับ ณ แท่นบรรทมระหว่างต้นสาละคู่ เพื่อเตรียมเสด็จสู่มหาปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลเชิญเสด็จเพื่อไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ แทนที่จะเป็นในป่าใกล้เมืองเล็กๆ เพื่อให้สมฐานะและพระเกียรติแก่พระศาสดาของโลก พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย ชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่าง ตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้น แต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไป เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อานนท์เอย ตถาคตอุบัติแล้วเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน เมื่ออุบัติมาสู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็ได้บรรลุแล้วในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองราชคฤห์มหานคร เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกได้สาวกเพียง ๕ คน เราก็ตั้งลงแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมิคทายะ เขตเมืองพาราณสี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแห่งเ เราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน"

ระยะหลังๆ มานี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา แต่อาจมีความรู้สึกนึกคิด จนถึงขั้นมีปัญญาสามารถแก้ปัญหาได้ นานมาแล้ว ที่วิทยาศาสตร์บอกว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทื่อๆ นอกจากจะเคลื่อนที่ไปมาไหนไม่ได้แล้ว ยังไร้ซึ่งประสาทสัมผัส และระบบรับรู้ ไม่มีความรู้สึก อารมณ์ และความฉลาด แต่ผลการวิจัยใหม่ๆ ที่เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ กลับชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีรายงานวิจัยที่เปิดเผยเกี่ยวกับความสามารถในการฝึกได้ของพืชครับ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝึกฝนได้ก็คือ "ความจำ" นั่นเอง รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications โดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา-ลินคอร์น (University of Nebraska-Lincoln) ประเทศสหรัฐอเมริกา (รายละเอียดเพื่อการอ้างอิงคือ Yong Ding, Michael Fromm, Zoya Avramova. Multiple exposures to drought 'train' transcriptional responses in Arabidopsis. Nature Communications, 2012; 3: 740 DOI: 10.1038/ncomms1732) ซึ่งนักวิจัยได้ค้นพบว่าพืชมีความสามารถในการจดจำคืนวันแห่งความแห้งแล้ง และมันสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อปรับตัว ทำให้มันมีความสามารถในการที่จะอดทน และเอาตัวรอดจากความแห้งแล้งที่อาจจะผ่านเข้ามาอีกในอนาคต

นักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างพืชที่ถูกฝึกให้เจอภัยแล้งจำลองหลายๆ ครั้ง กับพืชที่ไม่เคยฝึกเลย พบว่าพืชที่เคยถูกฝึก เมื่อเจอกับภัยแล้ง มันจะจดจำสภาวะที่มันเคยเจอได้ มันจะปรับตัวได้เร็วกว่า ทำให้มันไม่สูญเสียน้ำได้ง่าย จากการศึกษากลไกการทำงานในระดับโมเลกุล ทำให้พบว่า ปฏิกริยาเคมีต่างๆ ในพืชที่ถูกฝึกเอาไว้ เมื่อมันเจอภัยแล้งของจริง มันจะมีสภาพคล้ายๆ กับช่วงที่มันได้ฝึก องค์ความรู้ที่ได้นี้ อาจจะทำให้สักวันหนึ่ง เราสามารถที่จะทำวิศวกรรมเพื่อให้ได้พืชที่ต้องการน้ำน้อย และสามารถให้ผลผลิตได้แม้จะประสบกับสภาวะภัยแล้งน้ำก็ตาม อย่างไรก็ตาม นี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องแสวงหาความรู้อีกมากว่าความสามารถของพืชมีอะไรอีกบ้าง

ในตอนบ่ายของวันเพ็ญเดือน 6 เมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้วนั้นเอง เหนือขึ้นไปจากแท่นบรรทมของพระพุทธองค์ ต้นสาละทั้งคู่ได้ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น โปรยดอกตกถูกพระพุทธสรีระประหนึ่งจะถวายบูชาแด่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการผิดปรกติ เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ต้นสาละจะออกดอก พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสต่อพระอานนท์ว่า "ดูก่อน อานนท์ เราสรรเสริญการบูชาเช่นนี้ แต่ไม่ถือว่าเป็นการบูชาอันประเสริฐ เป็นการดีถ้าหากพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยให้สมควรแก่ธรรมที่เราได้ตรัสไว้แล้วนั้น เราสรรเสริญว่า เป็นการบูชาที่ประเสริฐสุด"

12 สิงหาคม 2555

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 12)


เรื่องของภูมิปัญญาในพืช หรือ Plant Intelligence ผ่านมาถึงตอนที่ 12 แล้วนะครับ เรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจ และผมเชื่อว่า วิทยาศาสตร์ในทศวรรษต่อไป จะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับพืชออกมาเรื่อยๆ เราจะได้พบกับความรู้ใหม่ ความน่าประหลาดใจเกี่ยวกับพืชอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และความรู้นี้แหล่ะครับ จะนำไปสู่การแก้ปัญหาหลายๆอย่าง ทั้งทางด้าน อาหาร เกษตร พลังงาน สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังจะมีประโยชน์ในด้านเทคโนโลยีบางอย่างที่เราอาจจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน

มีรายงานวิจัยฉบับหนึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The Plant Cell (รายละเอียดเต็มคือ Magdalena Szechyska-Hebda, Jerzy Kruk, Magdalena Górecka, Barbara Karpiska and Stanisaw Karpiski, "Evidence for Light Wavelength-Specific Photoelectrophysiological Signaling and Memory of Excess Light Episodes in Arabidopsis", Plant Cell (2010), DOI:10.1105/tpc.109.069302) ที่เปิดเผยว่าพืชก็มีระบบประสาทเหมือนกับสัตว์ โดยพืขจะอาศัยการส่งข้อมูลผ่านเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า bundle sheath cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่หุ้มอยู่รอบขอบผนังท่อลำเลียงอาหารของพืช ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าเซลล์ชนิดนี้ทำหน้าที่ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้ ไม่เคยคิดว่าเซลล์เหล่านี้จะทำหน้าที่พิเศษขึ้นมาอีกอย่าง นั่นก็คือ เป็นเซลล์ที่ใช้ส่งสัญญาณ/ข้อมูล ไปทั่วต้นพืช เฉกเช่นเซลล์ประสาทของสัตว์

นักวิจัยได้ทดลองฉายแสงไปที่ใบของต้นพืชทดลองเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น แสงที่ความยาวคลื่นดังกล่าว สามารถใช้กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของพืชได้ ซึ่งพืชจะเข้าใจว่าตอนนี้ กำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่อาจมีศัตรูพืชแล้ว นักวิจัยพบว่าหลังจากส่องแสงไปที่ใบพืชเพียงแค่ใบเดียว แล้วตรวจวัดภูมิคุ้มกันของพืชทั่วลำต้น ผลก็คือ พบว่าพืชได้เปิดใช้ระบบภูมิคุ้มกันทั่วลำต้นแล้ว นั่นแสดงว่าพืชมีการส่งข้อมูลจากใบไม้ที่ถูกแสงกระตุ้น ไปยังใบไม้ใบอื่น และเซลล์อื่นๆ ทั่วทั้งลำต้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่าน่าจะผ่านเซลล์ bundle sheath cell นี้เอง เนื่องจากสามารถตรวจพบสัญญาณไฟฟ้าที่เซลล์ดังกล่าว มีลักษณะเป็นคลื่นสัญญาณคล้ายกับเซลล์ประสาทของสัตว์

นักวิจัยกำลังสงสัยว่าพืชอาจมีการเรียนรู้และจดจำ ลักษณะและความจำเพาะของฤดูกาลต่างๆ เมื่อข้อมูลสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มันจะสามารถตรวจพบและเตรียมตัวรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ...

04 สิงหาคม 2555

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 6)


ตอนเด็กๆ ผมเคยครุ่นคิดว่า การที่คนเรารับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการไปคร่าชีวิตผู้อื่น เพื่อที่จะนำเนื้อหนังของเขามาดำรงชีพนั้น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานก่อนสิ้นลม โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างวัว ผมเคยเห็นมันร้องไห้กับตาตนเอง มันทุรนทุรายเพื่อหนีไม่ให้คนมาจับมันขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการบริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยการทรมานชีวิตสัตว์ กำลังขวนขวายทำวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) ซึ่งจะเป็นการได้เนื้อสัตว์มาจากการเพาะเลี้ยง เฉกเช่นเดียวกับการปลูกพืชให้ได้ผลผลิต การปลูกเนื้อสัตว์สามารถทำได้ด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยที่มีความสามารถในการยืด-หดตัว ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีหลอดเลือดหล่อเลี้ยง และมีชั้นไขมันเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน องค์ประกอบง่ายๆ เหล่านี้ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า อีกไม่นาน เราน่าจะปลูกเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภคในเชิงพาณิชย์ได้

การปลูกเซลล์กล้ามเนื้อจะทำในของเหลวที่มีสารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส เกลือแร่ และ ซีรั่มซึ่งเลียนแบบสารละลายของเลือด นักวิจัยต้องใช้วิธีกระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อเหล่านั้นเติบโต เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้กันตอนนี้ คือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และการใช้ฮอร์โมน ศาสตราจารย์ มาร์ค โพสต์ (Professor Mark Post) แห่งภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งไอน์โฮเฟน (Eindhoven University of Technology) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเดิมท่านเป็นหมอทางด้านหลอดเลือดหัวใจ (Angiogenesis) แล้วพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชั้นนำทางด้านการปลูกสัตว์ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งคอนซอร์เทียมขึ้นมา เพื่อจะเป็นผู้นำในการพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ซึ่งเนื้อไก่กำลังเป็นที่สนใจในสหภาพยุโรป ศาสตราจารย์ โพสต์ ท่านได้กล่าวว่า "ผมคิดว่าไม่น่าเกิน 10 ปี เราจะสามารถผลิตเนื้อไก่แบบนักเก็ตส์ ได้"


หากคำกล่าวของศาสตราจารย์ โพสต์ เป็นจริง อีก 10 ปี เราจะเริ่มเห็นการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรป เนื้อไก่จริงจะเริ่มถูกกีดกัน ด้วยข้อหาทรมานสัตว์ ไก่ส่งออกของไทยที่มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (พ.ศ. 2551) คงจะหาอนาคตไม่เจอ ...........

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 6)


ตอนเด็กๆ ผมเคยครุ่นคิดว่า การที่คนเรารับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการไปคร่าชีวิตผู้อื่น เพื่อที่จะนำเนื้อหนังของเขามาดำรงชีพนั้น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานก่อนสิ้นลม โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างวัว ผมเคยเห็นมันร้องไห้กับตาตนเอง มันทุรนทุรายเพื่อหนีไม่ให้คนมาจับมันขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการบริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยการทรมานชีวิตสัตว์ กำลังขวนขวายทำวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) ซึ่งจะเป็นการได้เนื้อสัตว์มาจากการเพาะเลี้ยง เฉกเช่นเดียวกับการปลูกพืชให้ได้ผลผลิต การปลูกเนื้อสัตว์สามารถทำได้ด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยที่มีความสามารถในการยืด-หดตัว ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีหลอดเลือดหล่อเลี้ยง และมีชั้นไขมันเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน องค์ประกอบง่ายๆ เหล่านี้ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า อีกไม่นาน เราน่าจะปลูกเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภคในเชิงพาณิชย์ได้

การปลูกเซลล์กล้ามเนื้อจะทำในของเหลวที่มีสารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส เกลือแร่ และ ซีรั่มซึ่งเลียนแบบสารละลายของเลือด นักวิจัยต้องใช้วิธีกระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อเหล่านั้นเติบโต เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้กันตอนนี้ คือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และการใช้ฮอร์โมน ศาสตราจารย์ มาร์ค โพสต์ (Professor Mark Post) แห่งภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งไอน์โฮเฟน (Eindhoven University of Technology) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเดิมท่านเป็นหมอทางด้านหลอดเลือดหัวใจ (Angiogenesis) แล้วพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชั้นนำทางด้านการปลูกสัตว์ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งคอนซอร์เทียมขึ้นมา เพื่อจะเป็นผู้นำในการพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ซึ่งเนื้อไก่กำลังเป็นที่สนใจในสหภาพยุโรป ศาสตราจารย์ โพสต์ ท่านได้กล่าวว่า "ผมคิดว่าไม่น่าเกิน 10 ปี เราจะสามารถผลิตเนื้อไก่แบบนักเก็ตส์ ได้"


หากคำกล่าวของศาสตราจารย์ โพสต์ เป็นจริง อีก 10 ปี เราจะเริ่มเห็นการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรป เนื้อไก่จริงจะเริ่มถูกกีดกัน ด้วยข้อหาทรมานสัตว์ ไก่ส่งออกของไทยที่มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (พ.ศ. 2551) คงจะหาอนาคตไม่เจอ ...........

03 สิงหาคม 2555

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 5)


การที่คนเราหันมาบริโภคเนื้อสัตว์ (จริงๆ) กันน้อยลง แล้วหันไปทานเนื้อสัตว์ปลูก (in vitro meat) แทนในอนาคต นอกจากจะเป็นเรื่องดีในแง่ของความเป็นสัตว์ประเสริฐของมนุษย์เรา ที่จะได้เผื่อแผ่ความเมตตากรุณาให้แก่สัตว์อื่น จริงๆ แล้ว การบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง นอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของเราแล้ว มันยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของโลกด้วยครับ

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า วัวตัวเต็มวัยตัวหนึ่ง ผายลมเอาก๊าซมีเธนออกมาปีละ 180 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ดักจับความร้อนในชั้นบรรยากาศของโลกได้ดีกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า การผลิตเนื้อวัวนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเต้าหู้ ซึ่งเป็นอาหารหลักของนักมังสวิรัติแล้ว มันใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่าเป็น 17 เท่า ใช้น้ำมากกว่า 26 เท่า ใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 20 เท่า แถมยังใช้สารเคมีมากกว่าอีก 6 เท่า จากรายงานขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN's FAO) พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาทั้งหมด 18% ซึ่งมากกว่ารถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน รวมกันเสียอีก ดังนั้น เพียงแค่เราเปลี่ยนจากทานเนื้อ 1 กิโลกรัม มาเป็นเต้าหู้ 1 กิโลกรัม เราจะช่วยโลกนี้ได้มากแค่ไหน

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ลองชั่งใจดูนะครับระหว่างการกินเนื้อวัว เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ อะไรจะดีกว่ากันสำหรับโลกใบนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพบว่า การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมนั้นใช้พื้นที่มากกว่าการผลิตเนื้อไก่ถึง 7 เท่า และมากกว่าเนื้อหมู 15 เท่า ดังนั้นผู้ที่ถือสัตยาธิษฐานกับพระโพธิสัตว์กวนอิม ว่าจะไม่รับประทานเนื้อวัว จึงถือเป็นการลดโลกร้อนอย่างอัตโนมัติครับ ........

02 สิงหาคม 2555

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 4)



ช่วงที่ผมไม่สบาย ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่อยากทานเนื้อสัตว์เลย อยากกินแต่ผักผลไม้ นี่ก็เป็นสิ่งบ่งชี้หนึ่งที่แสดงว่า ผักและผลไม้ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการมากกว่าเนื้อสัตว์ เวลาคนเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการฟื้นฟูสุขภาพ อีกทั้งคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แถมกลับพบว่ามีสุขภาพดีกว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์เสียอีก แต่ถ้าเรายังไม่อาจที่จะเลิกทานเนื้อสัตว์ได้ มีทางเลือกอื่นๆ ไหม ที่จะเป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยลง ???


(1) เนื้อสัตว์ที่ปลูกได้ต้องเป็นเนื้อไก่ ซึ่งจะต้องมีรสชาติและรูปกาย (Texture) ไม่ต่างจากเนื้อไก่ของจริง โดยคนที่นิยมทานเนื้อสัตว์ กับ คนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องทานแล้วถูกปาก
(2) เนื้อไก่ที่ปลูกขึ้นมานี้ ต้องผลิตในจำนวนที่มากพอจะขายได้ ด้วยราคาที่แข่งขันได้กับเนื้อไก่ของจริง (ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย)
(3) ขณะนี้ทาง Peta ได้ทำการฝึกนักชิมประมาณ 10 คน เตรียมความพร้อมเพื่อจะชิมเนื้อไก่ที่เกิดจากการปลูก โดยจะใช้มาตรฐานการชิมเนื้อไก่ที่ได้รับการยอมรับ

ทาง Peta ได้กำหนด Deadline เอาไว้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการกำหนดวันที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีไปสักนิด เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ความก้าวหน้าในศาสตร์ของการปลูกสัตว์ในขณะนี้ ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนนักวิจัยที่เข้ามาทำงานในด้านนี้น้อยมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เมื่อพิจารณาขนาดของอุตสากรรมนี้ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด

แน่นอนครับ หากการปลูกสัตว์หรือ In vitro meat ทำได้เมื่อไหร่ ประเทศผู้ผลิตเนื้อไก่อันดับต้นๆ ของโลกอย่างประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะทางอียู จะกีดกันเนื้อไก่แท้ของเรา และโปรโมตให้เนื้อไก่ที่ผลิตจากการปลูกให้ขายดิบขายดีอย่างแน่นอน .....