22 ธันวาคม 2555

BIG DATA - ยุคข้อมูลใหญ่มหึมา มาถึงแล้ว (ตอนที่ 2)




ในยุคที่ระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เชื่อมโยงกันทั้งโลก ทำให้การจะทำอะไรสักอย่างที่เมื่อก่อนเราคิดว่ามันง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยาก สิ่งที่เราคิดว่าถูกสำหรับสังคมเรา อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดในสังคมโลก ซึ่งหากเราจะฝืนเชื่อในแบบของเราต่อไปไม่แคร์ประเทศอื่นก็คงทำได้แต่ไม่ยั่งยืน แม้แต่ประเทศที่เคยปิดตัวเองและคิดว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ไม่ต้องพึ่งใครอย่างพม่า สุดท้ายก็ต้องเปิดประเทศ อดีตนายกฯ ทักษิณของไทยถูกศาลอาญาประเทศไทยสั่งจำคุกดดีที่ดินรัชดาฯ กลายเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่ต้องหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาเองสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ทั่วโลกอย่างไม่จำกัด โดยตำรวจสากลไม่สนใจที่จะแตะต้องหรือนำตัวส่งกลับประเทศไทยแต่อย่างใด นั่นแสดงว่า โลกไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำตัดสินของศาลไทย แถมกลับมองเห็นว่าคำสั่งศาลไทยเป็นคำสั่งที่ไม่มีความหมายในเวทีโลก  แต่เมื่อเทียบกับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อจะเดินทางไปยังต่างประเทศ กลับถูกปฏิเสธไม่ให้ไป ไม่ว่าจะเป็น เขมร บรูไน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอารเบีย รัสเซีย   ยุทธการโลกล้อมประเทศไทยนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า คนในประเทศของเรานั้น มีศักยภาพในการเท่าทันพลวัตในมิติต่างๆ ของเวทีโลกอันซับซ้อนนี้หรือไม่

ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกนี้ ทำให้ความเป็นตัวของตัวเองทางด้านวิถีชีวิตก็เป็นไปได้ยากมากๆ ทุกอย่างต้องไหล ต้องพลิ้วไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลก คนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะเข้าใจดีว่า ราคาทอง น้ำมัน และหุ้น มีความอ่อนไหวกับแทบจะทุกๆ เรื่องที่ไม่ได้เกิดในเมืองไทย เช่น ปัญหาหนี้ยุโรป ปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ปัญหาเงินฝืดในญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจในจีน  ในระยะหลังๆ มีกระแสเงินทุนไหลเข้าอาเซียนมาก ทำให้ราคาหลักทรัพย์ต่างๆ ของอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจนเอาไม่อยู่ ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสักตัวในตลาดหุ้น ก็จะพบว่าวัน ๆ คุณจะเจอกับข้อมูล Big Data จำนวนมหาศาลที่จะไหลเข้ามาเพื่อให้คุณวิเคราะห์และตัดสินใจว่าจะซื้อหรือจะขายหุ้นตัวนั้นดี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวกับบริษัทนั้น คุณจะต้องดูให้หมดทั้งเรื่องการเมือง แนวโน้มต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและในโลก

ผมยกตัวอย่าง ผมมีหุ้นตัวหนึ่ง เป็นบริษัที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและขายอาหารสัตว์ มาดูกันครับว่า ราคาของหุ้นตัวนี้จะขึ้นกับอะไรบ้าง 

ผมซื้อหุ้นตัวนี้เพราะความที่ผมมีความหลงไหลเรื่องของเกษตรเป็นทุนอยู่แล้ว หุ้นตัวนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะมันเป็นหุ้นเกษตรที่เติบโตเป็นวัฏจักร ราคาหุ้นตัวนี้ไม่แพง (ต่ำกว่า 10 บาท) ให้ปันผลปีละประมาณ 6-10% ซึ่งผมก็พอใจกับผลตอบแทนประมาณนี้ สำหรับหลายๆ คนมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อ เพราะว่าราคามันไม่ไปไหนเลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง เพราะบริษัทนี้มีกระแสเงินสดดี ไม่ค่อยมีหนี้ แถมมีกำไรสะสมเป็นพันล้าน ถึงแม้ผลประกอบการในปี 2555 นี้จะไม่เติบโตเนื่องมาจากต้นทุนด้านวัตถุดิบปีนี้มีราคาค่อนข้างสูง อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งในปีก่อนหน้า ทำให้ราคาข้าวโพดแพงมาก แต่ราคาอาหารสัตว์กลับไม่ได้ปรับขึ้น อย่างไรก็ดี จากการดูราคาข้าวโพดล่วงหน้า ส่งมอบในเดือนมีนาคม 2556 มีราคาถูกลงมาก อันเนื่องมาจากพายุแซนดี้ทำให้เกิดฝนตกมากในสหรัฐฯ เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้จะมีผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นมากจนทำให้ราคาส่งมอบลดต่ำลง ดังนั้น ในปีหน้าหุ้นตัวนี้น่าจะมีผลประกอบการดี ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินปันผลสูงขึ้น และเมื่อเงินปันผลสูงขึ้น นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นตัวนี้ก็จะสนใจแล้วเข้ามาซื้อ ทำให้ราคาของหุ้นตัวนี้สูงขึ้นมาก ซึ่งก็จะทำให้ผมสามารถทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ได้ในปีหน้า

แค่นี้ก็น่าจะเป็นข่าวดี แต่ทว่า ... ในชีวิตจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยครับ เพราะอาหารสัตว์จะขายได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับมีคนเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคมากหรือไม่ ซึ่งในที่นี้คือ หมู เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะใช้อาหารสัตว์มาก ซึ่งก็จะทำให้บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่นี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ว่า เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะเกิด supply ขึ้นในตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคาเนื้อหมูลดต่ำลง ซึ่งก็จะทำให้คนเลี้ยงหมูได้กำไรน้อยลง คนเลี้ยงหมูก็อาจจะพยายามลดต้นทุนด้วยการเลี้ยงหมูน้อยลง ใช้อาหารหมูจากบริษัทนี้น้อยลง โดยผสมอาหารจากธรรมชาติเข้าไปด้วย บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ก็อาจจะต้องลดราคาอาหารสัตว์ลงเพื่อจูงใจให้มีการซื้อมากขึ้น หรือหากคงราคาเดิมไว้ ก็จะมียอดขายลดลง แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน การที่คนเลี้ยงหมูมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่จะส่งผลดีต่อกิจการที่ผมซื้อหุ้นไว้เสมอไป ราคาของหุ้นตัวนี้ที่จะผมหวังจะทำกำไรให้ผมสูงๆ ได้ ก็จะขึ้นลงเป็นวัฏจักร ... แน่นอน ถ้าผมต้องการทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ ผมจะต้องทำการบ้านที่หนักหน่วง กับข้อมูลปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนี้ มันเป็นข้อมูลที่ใหญ่ เป็น Big Data จริงๆ

ในช่วงปลายปี 2555 ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เงินทุนไหลเข้าเรียกว่า Fund Flow ไหลเข้ามาทางเอเชียเป็นประวัติการณ์ ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ของไทยไหลขึ้นอย่างน่าตกใจ ราคาหุ้นยกตัวแทบจะทั้งกระดาน แต่หุ้นเกษตรตัวนี้ของผมกลับไม่กระดิกไปไหน มันยังขึ้นๆ ลงๆ ตามปริมาณการซื้อขายไปมาเล็กๆ น้อยๆ นักลงทุนส่วนมากมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อที่สุด แต่มันกลับเป็นหุ้นสุดเลิฟของผม และผมเชื่อว่ามันจะเป็นหุ้นที่ดีต่อไป และทำกำไรให้ผมได้อย่างยั่งยืน ......

BIG DATA - ยุคข้อมูลใหญ่มหึมา มาถึงแล้ว


เมื่อตอนเด็กๆ ผมเป็นแฟนละครขาประจำของซีรีย์ละครโทรทัศน์เรื่อง "พิภพมัจจุราช" เนื้อหาหลักของละครเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในเรื่องการทำงานของ "กฎแห่งกรรม" โดยมีผู้คุ้มกฎคือท่านพญายม เมื่อมนุษย์คนใดก็ตามดวงถึงฆาต วิญญาณของเขาเหล่านั้นจะถูกนำมายังห้องตัดสิน จากนั้นท่านท้าวพญายมจะบัญชาให้เสนาบดีของท่านที่มีชื่อว่า "สุวรรณ" และ "สุวาลย์" ตรวจดูบันทึกกรรมว่าคนเหล่านั้นทำกรรมอะไรเอาไว้บ้าง และที่น่าทึ่งสำหรับผม (รวมทั้งเด็กๆ ที่มีอายุเท่าผมในสมัยนั้น) ก็คือ ท่านท้าวพญายมได้ REPLAY กิจกรรมต่างๆ ของเหล่ามนุษย์ที่กำลังถูกตัดสิน ผ่านจอทีวียักษ์ให้ผู้ถูกตัดสินได้เห็นว่าตัวเองทำอะไร หลังจากดูละครในแต่ละตอนจบ ผมจะมีคำถามมากมายที่ค้างคาใจ และผู้ใหญ่ในสมัยนั้นก็ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้  เมื่อผมนำคำถามเหล่านี้ไปถามลุงป้าน้าอา ก็มักจะถูกไล่ให้ไปนอนหรือให้ไปเล่นไกลๆ คำถามที่ผมคาใจมากที่สุดคือ "มีคนอยู่เป็นล้านๆ คนทั่วโลก ใครจะเป็นคนจดบันทึกกรรมของเขาเหล่านั้น ในเมื่อท่านพญาผมมีลูกน้องเพียง 2 คน แล้วจะสามารถติดตามมนุษย์เป็นล้านๆ คนได้อย่างไร แล้วจะมีการผิดพลาดในการบันทึกบ้างไหม"

เมื่อผมโตขึ้นแล้วได้มีโอกาสศึกษาพระไตรปิฎก ผมจึงได้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครบันทึกกรรมให้เราหรอกครับ แต่กรรมทั้งหลายที่เรากระทำนั้นจะบันทึกลงไปในดวงจิตของเราเอง ในทุกขณะจิต  ซึ่งมีความไวมาก ในช่วง 1 วินาที จิตมีการเกิดดับถึง หนึ่งล้านล้านครั้ง หรือ สิบยกกำลังสิบสองเลยครับ นั้นคือ จิตมีสภาพเป็นควอนตัม ไม่มีความต่อเนื่อง มีอายุเพียงพิโควินาที (picosecond) เท่านั้น การกระทำของเราในทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะถูกบันทึกในจิตของเรานี่เอง ซึ่งข้อมูลจะมีมากมายมหาศาล สิ่งไหนก็ตามที่เราทำบ่อยๆ จิตก็จะบันทึกลงไป กลายเป็นอุปนิสัยหรืออัตลักษณ์ของเราไป เช่น ถ้าเราเป็นคนชอบมองโลกบวก เป็นคนสรวลเสเฮฮา ไม่คิดร้ายต่อใคร เราก็จะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ นับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราเป็นคนขี้โกรธ ชอบมองโลกในแง่ร้าย มองเห็นแต่สิ่งไม่ดีของคนอื่น เราก็จะเป็นอย่างนั้นข้ามภพข้ามชาติ การจะไปเปลี่ยนแปลงสภาพจิตแบบนั้นทำได้ แต่คงได้ใช้เวลามาก เราจึงมักเห็นคนที่พยายามกลับใจเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแบบตรงข้าม มักจะทำไม่ค่อยสำเร็จ เพราะสิ่งที่บันทึกในจิตเขามันมากมายกว่าข้อมูลใหม่ที่บันทึกลงไป ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงตัวเองอาจจะต้องใช้เวลาหลายภพหลายชาติกันเลยครับ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าเป็น "การสร้างบารมี" ซึ่งจะสั่งสมทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่เราต้องการ เพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่ได้

แล้วที่ผมพูดมาเกี่ยวอะไรกับหัวข้อ BIG DATA หรือครับ ? คำตอบคือ ... เกี่ยวสิครับ

โลกปัจจุบัน กำลังมีความสนใจในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า Big Data ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลที่เราต้องการเก็บบันทึกเอาไว้ทุกแง่ ทุกมุม ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคน กิจกรรมต่างๆ ที่เรากระทำ สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ การจราจร พฤติกรรมประชากร ความเคลื่อนไหวของสังคม เหตุการณ์ต่างๆ เพราะข้อมูลเหล่านั้นสามารถนำมาสกัด วิเคราะห์ ประมวลผล และสังเคราะห์ให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้มากมาย เช่นเดียวกับ ข้อมูลที่ลูกน้องของท่านพญายมได้บันทึกกรรม การกระทำของมนุษย์เอาไว้หมด เพื่อนำมาใช้ในภายหลัง ในอนาคต รถยนต์ที่เราซื้อมาขับ มันจะเก็บข้อมูลการขับขี่ของเรา พฤติกรรมการขับขี่ สไตล์เพลงที่เราเปิดฟัง รูปแบบการเข้าเติมน้ำมันของเรา แล้วมันจะส่งข้อมูลเหล่านั้นไปยังศูนย์บริการ รถยนต์จะเตือนเราให้เข้าศูนย์เมื่อถึงเวลา ช่างจะทำการบำรุงรักษาอะไหล่ต่างๆ โดยสามารถรู้ล่วงหน้าว่าต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง

BIG DATA กำลังแทรกซึมไปทุกหย่อมหญ้า เรามีข้อมูลสภาพอากาศ จากเครื่องตรวจวัดจำนวนมากมายบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ทั้งดาวเทียม เรดาร์ บอลลูนและอากาศยานตรวจอากาศ ทุ่นลอยในมหาสมุทร ข้อมูลใหญ่ๆ จำนวนมหาศาลนี้ได้นำมาสู่การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำรายชั่วโมง ในด้านพันธุศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์พยายามถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อทำแผนที่ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งจะนำไปสู่การค้นพบยาใหม่ๆ และที่กำลังมาแรงที่สุดสำหรับวิทยาศาสตร์ในเวลานี้คือ การทำแผนที่สมองของมนุษย์ เพื่อที่จะเข้าใจรายละเอียดการทำงานของ ความรู้สึกนึกคิด และจิตใจของมนุษย์

BIG DATA จะยิ่งมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เราเริ่มมีอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลจำนวนมากขึ้น กระจายมากขึ้น โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่พวกเราใช้กันอยู่นี้ มันสามารถเก็บข้อมูลตำแหน่งและเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ ซึ่งเราอาจไม่รู้ว่ามันได้ส่งข้อมูลเหล่านั้นกลับไปที่สถานีฐาน และข้อมูลเหล่านั้นได้ถูกบันทึกไว้ที่ไหนสักแห่ง นอกจากนั้นโทรศัพท์บางชนิดยังมีเซ็นเซอร์ชนิดพิเศษสำหรับตรวจหาอาวุธนิวเคลียร์ และมันจะส่งข้อมูลไปยังเพนทากอนหากมันตรวจพบสัญญาณของการแผ่รังสี รูปภาพที่เราถ่ายได้และอัพโหลดขึ้นไปบน Facebook จะเข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลที่เพนทากอนสามารถเข้ามา search หาความหมายของรูป และนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์พวก RFID (Radio-frequency identification) ที่เก็บข้อมูลสินค้า ซึ่งมันจะบันทึกข้อมูลการเดินทางของสินค้าจากจุดผลิต ไปยังจุดใช้งาน ที่สามารถใช้ติดตามพฤติกรรมการบริโภค หรือแม้กระทั่งติดตามหาผู้ก่อการร้ายก็ได้ ปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ที่มีความสามารถในด้านเซ็นเซอร์ ซึ่งจะเก็บข้อมูลและส่งเข้าฐานข้อมูล BIG DATA

BIG DATA กำลังคืบคลานเข้ามารายล้อมชีวิตของพวกเรา และวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็น Big Brother ที่คอยดูแล และควบคุมวิถีชีวิตของเรา .....

01 ธันวาคม 2555

The Future of Agriculture - อนาคตของเกษตรกรรม (ตอนที่ 6)



ถ้าผมมีเงินลงทุนสักก้อนเพื่อทำธุรกิจ ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะทำธุรกิจทางด้านเกษตรและอาหาร ถึงแม้ว่าในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะมองว่า เกษตรกรรมเป็นอาชีพของคนจน ทำงานหนัก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย แต่หากเราลองคิดดูกันเล่นๆ ว่า ในอีก 18 ปีข้างหน้า คือในปี ค.ศ. 2030 โลกเราจะมีประชากรจำนวน 8,100 ล้านคน และในปี ค.ศ. 2050 โลกจะมีประชากรล้นหลามถึง 9,000 ล้านคน ประเทศไทยจะต้องผลิตอาหารให้ได้มากกว่านี้อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อที่จะเลี้ยงประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นนับจากวันนี้ไป เท่ากับมีประเทศจีนเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ประเทศ อนาคตของประเทศไทย และอนาคตของโลกคือเกษตรกรรมครับ ไม่ใช่ การท่องเที่ยวและบริการ เพราะถึงวันนั้น เราอาจจะปิดประเทศ ไม่อยากให้ใครเข้ามาในประเทศเรามากกว่านี้แล้วก็ได้ แต่เราต้องการส่งออกอาหารไปเลี้ยงคนเหล่านั้น เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศของเรา

แล้วแนวโน้มของเกษตรกรรมในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะทำง่ายขึ้นหรือยากขึ้น ผมขอแบ่งเกษตรกรรมออกเป็น 2 ชนิดนะครับ

(1) Outdoor Agriculture หรือ เกษตรกลางแจ้ง เป็นการทำเกษตรที่เก่าแก่และทำมาตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มมีอารยธรรม การเกษตรแบบนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้า อากาศ ที่ไม่อาจควบคุมได้ (ในอนาคต เราอาจมีเทคโนโลยีที่ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ในระดับหนึ่ง เช่น การเบี่ยงเบนวิถีพายุ) การทำการเกษตรแบบนี้ในอนาคตจะยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ดังนั้น เราต้องการเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เรียกว่า Climate-Smart Agriculture หรือ เกษตรกรรมที่ฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ กล่าวคือ เป็นการเกษตรที่ปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศได้ ซึ่งทำให้ในอนาคตเราจะต้องรู้ทันสภาพภูมิอากาศที่จะเข้ามาในพื้นที่ไร่นาของเรา เพื่อที่เราจะได้สามารถปรับกิจกรรมในไร่ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะเกิดขึ้น

(2) Indoor Agriculture หรือ เกษตรในร่ม เป็นการเกษตรที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเกษตรแบบนี้ สามารถเราสามารถที่จะควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชที่ปลูก หรือ สัตว์ที่เลี้ยงได้ ในอนาคตอีกไม่นาน เกษตรกรรมแบบนี้จะเริ่มเข้าไปอยู่ในเมือง ในรูปแบบที่เรียกว่า Urban Agriculture หรือ เกษตรกรรมในเมือง หรือแม้แต่ Vertical Farming ซึ่งเป็นการทำไร่ทำนาบนอาคารสูง  ข้อดีของการเกษตรแบบนี้คือ การผลิตจะอยู่ใกล้กับการบริโภค ก่อให้เกิดการลดการปลดปล่อยคาร์บอน หากเกษตรกรรมแบบนี้ถูกพัฒนาให้เข้ามาแทนที่เกษตรกรรมแบบแรกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบเชิงบวกมากมายมหาศาล  พื้นที่เกษตรกรรมแบบกลางแจ้งจะถูกปล่อยกลับคืนให้เป็นของธรรมชาติ เกิดเป็นป่าเพื่อกักเก็บคาร์บอน มนุษย์จะถูกโยกย้ายจากสังคมชนบทให้เข้าไปอยู่ในเมือง ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เป็นการแก้ไขภาวะโลกร้อนอย่างตรงเป้า เพราะว่าเกษตรกรรมปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของการปลดปล่อยทั้งหมด มากกว่ารถยนต์ทุกคัน เรือและเครื่องบินทุกลำในโลกรวมกัน ไม่มีกิจกรรมอะไรอีกแล้วของมนุษย์ ที่จะปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากเท่าเกษตรกรรม

แม้ว่าในระยะยาว เกษตรกรรมจะดูดีมีอนาคต แต่ในระยะสั้นๆ โดยเฉพาะปัจจุบัน การเกษตรของประเทศเราถูกรุมเร้าด้วยปัญหารอบด้าน ทั้งในเรื่องสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปจนยากจะคาดเดา ทั้งในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของดิน และ สภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ภาคเกษตรยังเป็นภาคส่วนที่มีการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง คนหนุ่มสาวสนใจมาทำการเกษตรน้อยลง สังคมเกษตรจึงเริ่มกลายมาเป็นสังคมผู้สูงวัย แรงงานด่างด้าวก็มีไม่มากนักที่สนใจมาใช้แรงงานในการทำไร่ทำนา ทำให้ในอนาคต ประเทศไทยจะต้องเริ่มคิดถึงเทคโนโลยีที่จะมาช่วยทดแทนแรงงานมนุษย์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งผมมองว่าเทคโนโลยี 3 ประเภทนี้ จะช่วยแก้ปัญหาได้

(1) Ambient Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เกษตรกรรู้ความเป็นไปของสภาพแวดล้อมในไร่ และสภาพอากาศที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสง ลม ฝน ความชื้นในดิน พายุที่กำลังจะเข้า การระบาดของแมลง การเจริญเติบโตของพืช ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมในไร่ที่ถูกต้อง

(2) Operational Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การดำเนินกิจกรรมในไร่นาทำได้อย่างอัตโนมัติ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากข้อ (1) เช่น รถไถหยอดปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงความต้องการของพืช การระบาดของแมลง ซึ่งเก็บได้จากเซ็นเซอร์ตรวจวัดในข้อ (1) เป็นต้น

(3) Business Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกษตรกรคาดเดาผลผลิตที่จะเกิดขึ้นในไร่นาของตนเอง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลในข้อ (1) และ (2) รวมไปถึงข้อมูลตลาด supply & demand ของสินค้าเกษตรในอนาคต

วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ วันหลังผมจะกลับมาเล่าให้ฟังอีกครับ